นักวิชาการและเพจหมอเตือน ซื้อถุงพลาสติกยักษ์คลุมรถหนีน้ำท่วม ระวังน้ำลดเชื้อราขึ้นเต็ม แถมอันตรายต่อสุขภาพ แนะหาที่จอดสูงๆ ตามตึกหรือห้างจะดีกว่า
วันนี้ (29 ก.ย.) จากกรณีที่ในโซเชียลมีเดียมีการแชร์ภาพประกาศขายถุงพลาสติกขนาดใหญ่สำหรับคลุมรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในช่วงสถานการณ์น้ำท่วม โดยอ้างว่าจะช่วยป้องกันน้ำท่วมที่จะเข้ามาท่วมภายในรถยนต์ สนนราคาตั้งแต่ 265-380 บาทต่อถุง กลายเป็นไวรัลในโลกโซเชียลฯ มีคนแชร์และเริ่มมีคนสั่งซื้อจำนวนมาก
เฟซบุ๊ก “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์” ของ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า “ใครที่คิดจะซื้อถุงพลาสติกขนาดยักษ์ที่เอาไว้หุ้มรถ เผื่อจะป้องกันน้ำท่วมรถได้ ขอให้ใช้ด้วยความระมัดระวังนะครับ เพราะจากประสบการณ์ที่มีคนใช้กัน เมื่อน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 และมีรถที่ห่อถุงแบบนี้ไว้ จอดจมน้ำกันไว้หลายคัน กลายเป็นว่าแกะออกมาแล้วเชื้อราขึ้นเต็มรถเลย
ที่เกินคาดไปกว่านั้นคือ แม้ว่ารถจะหนักมาก แต่ด้วยอากาศที่อยู่ในถุงกลับทำให้ลอยน้ำได้ แล้วก็ลอยไปจากจุดที่จอดไกลทีเดียว จึงไม่สนับสนุนให้ใช้ถุงห่อรถแบบนี้นะครับ วิธีที่เหมาะสมมากกว่าคือ รีบหาที่สูงไปจอดรถเก็บเอาไว้หนีน้ำท่วม แต่ถ้าใครคิดจะใช้จริงๆ อย่างแรก คงต้องหาทางถ่วงน้ำหนักของถุงเอาไว้ไม่ให้ลอยได้ อย่างที่สองคือ คงต้องหาพวกกล่องสารเคมีดูดความชื้นมาใส่ไว้ในถุงด้วยเยอะๆ งั้นได้กินเห็ดฟรีหลังน้ำลดแน่ๆ”
ด้านเฟซบุ๊กเพจ “ใกล้หมอจิ๋ม” โพสต์ข้อความระบุว่า “ประสบการณ์ตรงจากปี 54 มัดรถไว้แบบนี้ แกะออกมาเชื้อราท่วม อย่าหาทำ หาที่จอดสูงๆ ตามตึกตามห้างดีกว่า ความอับชื้นคือตัวการรถราขึ้น ราขึ้นรถสังเกตจากกลิ่นอับชื้นและคราบด่างดวง รถเหม็นอับมีราขึ้นอันตรายต่อร่างกายมากกว่าที่คิด ระคายเคืองดวงตาและผิวหนัง เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะก่ออันตรายต่อระบบหายใจและระบบประสาท ร้ายแรงที่สุดคือก่อมะเร็ง โดยเฉพาะต่อกลุ่มเสี่ยง
ความร้ายของเชื้อราไม่ได้มีเพียงรอยกระดำกระด่างที่ทำให้รถแสนรักดูสกปรกเท่านั้น แต่ “สปอร์” ของเชื้อรายังเข้าสู่ร่างกายได้และทำให้เกิดอาการดังนี้ ปัญหาต่อระบบทางเดินหายใจ-คัดจมูก เลือดกำเดาไหล ไอจาม ภูมิแพ้ หายใจไม่ออก หอบหืด ปอดอักเสบ ปัญหาต่อดวงตา-น้ำตาไหล ตาแดง ปัญหาต่อผิวหนัง-ผื่น ลมพิษ ระบบประสาท-ปวดศีรษะ อารมณ์ขุ่นมัว นับว่าส่งผลร้ายต่อสุขภาพอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ”
ที่มา: https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000096274