นายโชคชัย อัศวรังสฤษฎ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานบริหารและพัฒนาศักยภาพองค์กร บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ นายยศธร อรัญนารถ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก รีเทล จำกัด บริษัทในกลุ่มบริษัทบางจาก ร่วมส่งมอบแก้วย่อยสลายอินทนิลไบโอคัพใช้แล้วจำนวน 720,000 ใบ ให้แก่กรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อนำไปเพาะกล้าและใช้ประโยชน์ในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ใน “งานปลูกต้นราชพฤกษ์ จากเมล็ดต้นราชพฤกษ์ทรงปลูกของในหลวง รัชกาลที่ 9 เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก ประจำปี 2567 ณ เขตบางบอน” โดยมี นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้รับมอบแก้วเพาะกล้า ร่วมขับเคลื่อนโครงการฯ ด้วยแนวคิดส่งต่อโลกที่ยั่งยืนให้คนรุ่นต่อไป โดย ณ สิ้นปี 2566 แบรนด์อินทนิลส่งมอบแก้วไบโอคัพใช้แล้วให้เกิดประโยชน์ต่อเนื่องกับองค์กรพันธมิตรต่างๆ ไปแล้วกว่า 3 ล้านใบ

ในฐานะ “ผู้นำร้านกาแฟรักษ์โลก” อินทนิลได้เริ่มต้นใช้แก้วไบโอคัพซึ่งสามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพภายใน 180 วัน (ภายใต้สภาวะที่เหมาะสม) ทุกสาขาทั่วประเทศเป็นรายแรกในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2558 ณ เดือนเม.ย. 2567 อินทนิลมีการใช้แก้วไบโอคัพไปแล้วกว่า 170 ล้านใบ นับเป็นผู้ใช้รายใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดยคาดว่าจะมีการใช้มากถึง 195 ล้านใบ ณ สิ้นปี 2567

นอกจากนี้ อินทนิล ยังได้เริ่มต้น โครงการ “แก้วเพาะกล้า” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างบริษัท บางจาก รีเทลฯ และกรมป่าไม้ เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก เมื่อเดือนมิ.ย. 2562 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดปริมาณขยะจากการใช้ถุงพลาสติกดำเพาะกล้าไม้ด้วยการเปลี่ยนมาใช้แก้วอินทนิลไบโอคัพใช้แล้วที่ผลิตจากพืช 100% ซึ่งได้ส่งมอบให้ศูนย์เพาะชำกล้าไม้ทั่วประเทศในทุกๆ ปีอย่างต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 5 และได้เชิญชวนให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการลดขยะและเพิ่มพื้นที่สีเขียว ด้วยการนำแก้วที่ใช้แล้วมาคืนที่ร้านอินทนิลที่เป็นจุดรับคืนได้ทั่วประเทศมาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ บรรจุภัณฑ์อื่นๆ ของอินทนิล ได้แก่ ฝายกดื่ม ฝาโดม และหลอด ล้วนแต่ผลิตจากพลาสติกชีวภาพสามารถย่อยสลายได้ 100% เพื่อช่วยลดขยะอย่างยั่งยืน และบริษัทฯ มีการสนับสนุนให้ลูกค้าใช้แก้วส่วนตัว โดยเป็นผู้ริเริ่มโครงการนี้เป็นรายแรกๆ ของประเทศ

และล่าสุดได้รณรงค์ “โครงการให้หลอดเมื่อขอ” เพื่อลดการใช้หลอดและลดขยะที่ไม่จำเป็น สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมที่แบรนด์อินทนิลให้ความสำคัญมาตลอดระยะการดำเนินธุรกิจกว่า 18 ปี

ที่มา: https://www.khaosod.co.th/smart-sustain/news_8271662