ผู้บริโภค 7 ใน 10 พร้อมเปลี่ยนพฤติกรรมสู่วิถีความยั่งยืน

ผลงานวิจัยความยั่งยืน อาลีบาบา ระบุผู้บริโภค 7 ใน 10 พร้อมเปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอย เพื่อแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม แต่ต้องพบอุปสรรคสำคัญด้านค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไปและความไม่สะดวกด้านต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าที่เน้นความยั่งยืน
ผลงานวิจัยอิสระที่สนับสนุนโดย อาลีบาบา กรุ๊ป พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ หรือ ราว 73% ต้องการดำเนินชีวิตด้วยแนวทางที่ยั่งยืนมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (87%) แต่ต้องพบอุปสรรคสำคัญด้านค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไปและความไม่สะดวกด้านต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าที่เน้นความยั่งยืน

“The Sustainability Trends Report 2023” เป็นงานวิจัยที่ สำรวจผู้บริโภคมากกว่า 14,000 รายจากตลาด 14 แห่งในเอเชีย ยุโรป และตะวันออกกลาง การวิจัยพบว่าความสะดวกด้านต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าที่เน้นความยั่งยืน สัดส่วน 53% และค่าใช้จ่ายที่รับได้ สัดส่วน 33% มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคให้ดำเนินไปตามวิถีความยั่งยืน และธุรกิจต่างๆ ก็สามารถช่วยให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนได้ง่ายขึ้น

ทั้งนี้ 38% ผู้ของบริโภคเชื่อว่าความสนใจส่วนบุคคลเป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดความสนใจเรื่องความยั่งยืน ของสินค้าที่ธุรกิจต่างๆ นำเสนอ มีเพียง 15% ที่เชื่อคำกล่าวอ้างทั้งหมดที่เกี่ยวกับความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ ดังนั้นธุรกิจต้อง ทำงานอย่างหนักเพื่อให้ผู้บริโภคไว้วางใจ โดยเฉพาะผู้บริโภคที่อาศัยอยู่ในตลาดยุโรป

นายหลิว เว่ย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ด้าน ESG ของอาลีบาบา กรุ๊ป กล่าวว่า “ในฐานะที่อาลีบาบา เป็นบริษัทด้านดิจิทัลแพลตฟอร์ม เรามีจุดยืนที่เป็นเอกลักษณ์และให้คำมั่นที่จะจัดการความท้าทายที่เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างสิ่งที่พูดกับสิ่งที่ทำได้จริงในทางปฏิบัติ (say-do gap) ด้วยการลดอุปสรรคที่จะกระทบต่อความสะดวกด้านต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้า ที่เน้นความยั่งยืน เพิ่มทางเลือกด้านความยั่งยืนให้มากขึ้น และปรับปรุงซัพพลายเชนต่างๆ เพื่อให้คงราคาที่สมเหตุสมผลให้กับผู้บริโภค เพราะการบริโภคอย่างยั่งยืนมีความสำคัญมากต่อสิ่งแวดล้อม และในขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสที่ยิ่งใหญ่ให้ธุรกิจ รวมถึงเศรษฐกิจดิจิทัลในภาพรวม เพื่อการพัฒนาที่ยืนยาวไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนให้กับทุกฝ่าย”

รายงาน ESG ล่าสุดนี้ยังเผยให้เห็นข้อมูลจากแพลตฟอร์มบัญชีแยกประเภทคาร์บอนของอาลีบาบาที่ระบุว่ามีผู้บริโภค 187 ล้านคนเข้าร่วมกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในช่วง 12 เดือน (นับถึงวันที่ 31 มีนาคม 2566) โดยมีสินค้า 1.91 ล้านรายการจากแบรนด์ 409 แห่งที่นำเสนอบน Tmall และ Taobao ผ่านโปรแกรมสินค้าคาร์บอนตํ่าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2566)

ผู้บริโภคทั่วโลกยอมรับ การใช้ชีวิตด้วยวิถีความยั่งยืนมากขึ้น แต่ในแต่ละภูมิภาคต่างมีระดับการมีส่วนร่วม วิถีการดำเนินชีวิต และการจับจ่ายซื้อของที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนแตกต่างกัน

ผลงานวิจัยพบว่าผู้บริโภคประมาณ 3 ใน 4 หรือราว 76% ยินดีรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการที่จะช่วยให้มีความยั่งยืนมากขึ้น โดยผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง หรือ ราว 58% กล่าวว่า พวกเขาได้มีส่วนร่วมด้านความยั่งยืนแล้ว และรู้สึกว่าตนกำลังทำสิ่งที่ดีและถูกต้อง นอกจากนี้ยังเปิดกว้าง เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติทางออนไลน์เพื่อความยั่งยืน โดยเฉลี่ย 73% กล่าวว่ายินดีรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น

ผู้ตอบแบบสำรวจที่อยู่ในตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย ประมาณ 88% เต็มใจเรียนรู้วิธีการที่จะช่วยให้สามารถซื้อสินค้าออนไลน์ที่เน้นเรื่องความยั่งยืนได้มากขึ้น นอกจากนี้ พฤติกรรมการช้อปปิ้งออนไลน์ที่เน้นเรื่องความยั่งยืนยังแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค เช่น ตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย ประมาณ 47% มีแนวโน้มเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนมากกว่า ในขณะที่ในยุโรปประมาณ 47% มีแนวโน้มเลือกการรีไซเคิลมากกว่า

ผู้บริโภคครึ่งหนึ่งจะเลือกซื้อสินค้าที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนก็ต่อเมื่อมีความสะดวกด้านต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าประเภทนี้ และ 1 ใน 3 เชื่อว่าสินค้าประเภทนี้มีราคาแพงเกินไป โดยอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคไม่ซื้อสินค้าที่ให้ความสำคัญด้านความยั่งยืนเพิ่มขึ้น คือ ขาดข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับความยั่งยืนของสินค้า สัดส่วน 48% และราคาของสินค้าที่เน้นความยั่งยืนมีราคาสูงเกินไป สัดส่วน 45%

ผู้บริโภคที่ตอบแบบสำรวจมากกว่าครึ่ง หรือราว 53% ระบุ ว่าจะเลือกให้ความสำคัญต่อความยั่งยืนก็ต่อเมื่อพวกมีความสะดวกด้านต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้ากลุ่มนี้ นอกจากนี้ 1 ใน 3 หรือ ราว 33% ระบุว่าการใช้ ชีวิตวิถียั่งยืนนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป

 

ที่มา: https://www.thansettakij.com/sustainable/zero-carbon/573813 

วันที่ 20 สิงหาคม 2566