ส่องเส้นทางโตพันล้านบาท ใน 5 ปี ของ 'เอกา โกลบอล อินเดีย'

อินเดีย เป็นตลาดดาวรุ่งของโลกที่มีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีมากกว่าประเทศอื่นทั่วโลก เพราะเป็นมีเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ รวมถึงยังมีการบริโภคภายในประเทศในอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี ตามจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ก่อนหน้านี้ บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร ได้ทำตลาดที่อินเดียมาแล้วประมาณ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2562 โดยมีออฟฟิศขายอยู่ที่อินเดียอยู่แล้ว ขายชีทและบรรจุภัณฑ์ชนิดพลาสติกขึ้นรูปนำเข้าจาก เอกา โกลบอล ประเทศไทย ซึ่งได้ผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลอย่าง มิสเตอร์วิเวก โชกูเล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอกาแพค โกลบอล (อินเดีย) เป็นคนบริหาร เมื่อขายได้วอลุ่มในระดับหนึ่ง และมีการเติบโตขึ้นในทุกๆ ปี จึงได้ตัดสินใจเปิดโรงงานที่อินเดียขึ้นในพื้นที่ 5 ไร่ โดยเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 ลงทุนทั้งหมดในระยะเวลา 5 ปี รวมสร้างโรงงานที่อินเดียด้วยก็ประมาณ 500 ล้านบาท

การตัดสินใจตั้งโรงงานที่อินเดียนี้ ได้เลือกสถานที่ตั้งเป็น เมืองปูเน่ (Pune City) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่เป็นรองจากเมืองมุมไบที่เป็นเมืองหลวงของรัฐมหาราษฏระ ถือเป็นศูนย์กลางของความเจริญของอินเดียฝั่งตะวันตก ขณะเดียวกัน ปูเน่ ถือเป็นเมืองหลวงด้านวัฒนธรรมของรัฐมหาราษฏระ และเป็นเมืองที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว อยู่ห่างจากมุมไบขับรถเพียงสี่ชั่วโมงครึ่ง ปัจจุบันเป็นเมืองที่ทันสมัยมีสิ่งอำนวยความสะดวก สถานบันเทิง ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ร้านอาหาร เป็นเมืองแห่งนวัตกรรมและเทคโนโลยี และบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนจำนวนมาก นอกจากนี้ ปูเน่ยังเป็นเมืองศูนย์กลางด้านการศึกษาที่มีสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่ง และถูกเรียกขานว่าเป็น ออกซฟอร์ดแห่งอินเดีย

นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) กล่าวว่า จากการบริหารงานที่มีวิสัยทัศน์ของ มิสเตอร์วิเวก โชกูเล ตลาดที่อินเดียโตทุกปี โตปีหนึ่งขั้นต่ำก็ 50% เป็นตลาด S-curve เหมือนกับสมัยก่อนเอกาที่เมืองไทย สัก 8-10 ปีที่แล้ว โตทุกปีปีละ 100% อินเดียก็เป็นแบบนั้นเลย เป็นตลาดอินโนเวชัน เป็นตลาดใหม่ เขาพึ่งพากำลังการซื้อตลาดภายในประเทศเป็นหลัก ไม่ได้พึ่งพาการส่งออก เพราะฉะนั้น อินเดียกำลังการซื้อภายในประเทศถือว่าแข็งแรงมาก หลังจากตั้งโรงงานที่อินเดียยอดคำสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้น เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ถึง 2 เท่า ตีว่าเกือบ 100%

เราไม่ได้ขายเฉพาะบรรจุภัณฑ์ปั๊มขึ้นรูปเท่านั้น แต่เรายังขายส่งชีทที่เป็นม้วนใหญ่ให้บริษัทแพ็กเกจจิงที่เป็นพาร์ทเนอร์ไปขึ้นรูปเองด้วย อย่างปีนี้ 2567 เรามียอดขายประมาณ 450 ล้านรูปี (ประมาณร่วม 200 ล้านบาท) ส่วนปี 2568 เราตั้งเป้าไว้ที่ 800-900 ล้านรูปี (ประมาณร่วม 400 ล้านบาท) ภายใน 5 ปี เราจะลงชีทไลน์เพิ่ม และจะติดตั้งเครื่องปั๊มบรรจุภัณฑ์เพิ่มอีกสัก 2 ตัว ตั้งเป้าทำยอดขายไว้ที่ประมาณ 2,400 ล้านรูปี (ประมาณร่วม 1,000 ล้านบาท) เท่าๆ กับเมืองไทยในปัจจุบัน

นายชัยวัฒน์ กล่าวเสริมถึงการสนับสนุนของรัฐบาลอินเดียต่อนักลงทุนชาวต่างชาติว่า สถานที่ตั้งของโรงงาน เอกา โกลบอล อินเดีย เรียกว่า นิคมอุตสาหกรรมของรัฐมหาราษฏระ ทางรัฐสนับสนุนนักลงทุนชาวต่างชาติโดยให้เราลด VAT ได้ อย่างของไทยเราลงทุนเท่าไหร่ก็ไปหักภาษีเงินได้นิติบุคคลตามจำนวนการลงทุน เช่น เราลงทุน 100 ล้านบาท เราก็สามารถหักภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ถึง 100 ล้านบาท แต่ที่อินเดียเขาใช้ลด VAT ลด GSP โดยเขามี GSP 2 ตัว คือสำหรับประเทศที่รัฐบาลกลางเก็บ กับอีกประเภทคือ GSP สำหรับรัฐ เก็บสองต่อเลย โดยรัฐโลคอลที่นี่เขาสนับสนุนโดยหากเราลงทุนที่รัฐมหาราษฏระจำนวนเท่าไหร่ก็ไม่รู้แหละ อาจจะ 200 ล้าน 100 ล้าน ก็สามารถนำเอาเงินลงทุนตรงนี้ไปหัก VAT ได้ภายใน 10 ปีเท่าๆ กันให้หมด อย่างเช่น ลงทุน 300 ล้านรูปี ปีหนึ่งก็สามารถหัก VAT ได้ประมาณ 30 ล้านรูปี หักปีละประมาณ 9%

เอกา โกลบอล ถือหุ้นใน เอกา อินเดีย 100% ที่นี่ไม่ได้มีกฎสำหรับการถือหุ้น ทั่วประเทศเหมือนกันหมด โดยหากเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการทหารความปลอดภัย เซอร์วิส รีเทล อินเดียต้องถือ 51% นอกเหนือจากนั้นในอุตสาหกรรมทั่วๆ ไป ต่างชาติสามารถถือได้ 100%

การแข่งขันในตลาดอินเดีย
การแข่งขันในตลาดอินเดียหลายคนอาจมองว่าต้องเยอะแน่ๆ แต่ที่จริงแล้วมีไม่ค่อยเยอะ อินเดียมีข้อดีอย่างหนึ่งซึ่งวัฒนธรรมจะคล้ายกับยุโรป นั่นคือ หากเขาซื้อสินค้าเราอย่างหนึ่งแล้วดี เขาก็จะซื้ออย่างต่อเนื่องกันยาวๆ ไม่ได้เอามาทำตามเพื่อแข่งขันทางการค้า

อีกหนึ่งข้อดีของตลาดอินเดียก็คือ เรื่องของกำลังซื้อที่มหาศาล คนเยอะ แค่ 10% ของประชากรก็ถือว่ามหาศาลมาก GDP ปีหนึ่งโต 7-8% โดยไม่ต้องพึ่งส่งออกเลย ใช้เพียงแต่ภายในประเทศเพียงอย่างเดียวเท่านั้น โอกาสโตยังมีอีกเยอะ คนอินเดียกินเยอะ กำลังซื้อมากขึ้น คนก็ซื้อของทานมากขึ้น ยิ่งแพ็กเกจจิงเราช่วยยืดอายุการจัดเก็บก็ยิ่งเหมาะกับตลาดอินเดีย ยกตัวอย่างให้เห็นภาพคือ หากเราเดินทาง 80 กิโลเมตร ต้องใช้เวลาเดินทางถึง 3 ชั่วโมง ยิ่งถ้าข้ามรัฐนี่ไม่ต้องพูดถึงใช้เวลานานมาก จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจแพ็กเกจจิงของ เอกา โกลบอล อินเดีย ที่ช่วยจัดเก็บยืดอายุในการผ่านข้ามรัฐได้ จากเดิมที่อาหารแต่เดิมอาจจะมีอายุการจัดเก็บเพียง 1 สัปดาห์ แต่เมื่อใช้นวัตกรรมของเอกาก็สามารถช่วยยืดอายุได้ถึง 3 เดือนเลยทีเดียว นายชัยวัฒน์ กล่าว

จุดแข็งของโปรดักส์ เอกา โกลบอล
จุดแข็งที่เห็นได้ชัดก็คือ ด้านเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมนี้ของอินเดียยังไม่มีใครทำ Barrier packaging สองเลยคือ มิสเตอร์วิเวก โชกูเล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอกาแพค โกลบอล (อินเดีย) เขาเคยทำ R&D ที่พริ้นต์แพค อเมริกา จึงเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการว่าตัวโปรดักส์แต่ละชิ้นแต่ละประเภทควรจะต้องใช้เลเยอร์แบบไหน ตัววัสดุต้องใช้แบบใด ทำโปรดักส์ดีไซน์ให้ ซึ่งการทำแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในอินเดียมาก่อน ขนมจากเดิมที่เคยอยู่ได้ 3-5 วัน เมื่อได้แพ็กเกจที่เหมาะสมก็สามารถช่วยยืดอายุได้ 3 เดือน ทำให้ส่งไปได้ไกลทั่วประเทศ เอกา โกลบอล อินเดีย ถือเป็นผู้ผลิต Barrier packaging เจ้าแรกในอินเดีย

นายชัยวัฒน์ กล่าวย้ำว่า เราเป็นผู้นำตลาดอันดับ 1 ในอินเดีย เพราะเราเป็นเจ้าแรกที่ทำ Barrier packaging ปี 2566 เรามีลูกค้าอยู่ 25 ราย ปีนี้มี 40 ราย เป้าหมายที่ วิเวก วางไว้คือ ภายใน 5 ปี จะทำให้ได้ 800 ราย (ณ ปัจจุบันมี 280 ราย เป็นลูกค้าเรียบร้อยแล้ว 40 ราย) เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีลูกค้าทั่วอินเดีย 200 ราย ตัวเลขก็จะขึ้นตามเป้าที่วางไว้ 1,000 ล้านบาท (ประมาณ 2,400 ล้านรูปี)

เดิมทีแล้วลูกค้าเขาหาวัสดุที่จะช่วยยืดอายุอยู่แล้ว เช่น ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ขายได้อยู่ที่แค่ 7 วัน แล้วต้องส่งไปตามช็อปต่างๆ หรือร้านค้าอาจมีการรีเทิร์นของเสียหาย แต่หากเขายืดอายุผลิตภัณฑ์ไปได้อีก 3 เดือน สามารถส่งไปขายได้ไกลขึ้น ลดปัญหาการคืนของ ถือเป็นการแก้ไขปัญหา Pain Point ได้โดยเสียค่าคอร์สเพิ่มขึ้นอีกเพียงนิดหน่อยเท่านั้นเอง ในต่างประเทศอย่างออสเตรเลีย มีการใช้ Barrier packaging กับเนื้อสด ยืดอายุจาก 7 วัน เป็น 14 วัน ไม่ต้องรีเทิร์นจากเชลฟ์ นั่นก็ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นเยอะ

เอกา โกลบอล อินเดีย ผู้นำตลาดอันดับ 1 ในอินเดีย
Market Cap ที่อินเดีย 1 พันล้านรูปี เอกา โกลบอล อินเดีย เป็นผู้นำตลาดอันดับ 1 เหตุผลที่เป็นแบบนั้นก็คือ ในปัจจุบันมีคนทำ Barrier packaging อยู่เพียง 2 รายเท่านั้น นั่นคือ 1. Eka Pak Global (India) 2. MAA PET PVT, Ltd ซึ่งเป็นคู่ค้ากับทางเอกา สั่งซื้อชีทเพื่อนำไปขึ้นรูปบรรจุภัณฑ์เองจาก เอกา โกลบอล ประเทศไทย มาเกือบ 10 ปีแล้ว

ในชีทแผ่นหนึ่งมี 11 ชั้น เขาไม่มีเทคโนโลยีตรงนี้ เขาจึงต้องพึ่งเรา เขาเองก็มีเครื่องเทอร์โมฟอร์มมิ่งอยู่ ตลาดอินเดียใหญ่มาก เราจำเป็นต้องมีพาร์ทเนอร์ โดยเขามีตลาดของเขาอยู่ที่ภาคเหนือของอินเดีย และเอกา อินเดีย เรายังมีลูกค้าในภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคใต้ก็เยอะ ตัวอย่างลูกค้าที่เราดูแลอยู่ก็คือ Chitale Bandhu ปีหนึ่งเขาทำยอดขายได้ที่ 5,000 ล้านรูปี เขาขยายกำลังผลิตในปีนี้เป็นเท่าตัว ลูกค้าเจ้าอื่นๆ ก็มีการขยายกำลังผลิตเพิ่มขึ้นอีกในปีนี้ บางเจ้าเป็นสิบเท่าตัว เนื่องจากเขามั่นใจในผลิตภัณฑ์เรา จึงทำให้เขากล้าที่จะขยายกำลังผลิตเพิ่มหลายเท่าตัวนั่นเอง นายชัยวัฒน์ กล่าว

ความกังวลในตลาดอินเดีย พร้อมตั้งเป้านำบริษัทฯ เข้าตลาดหลักทรัพย์อินเดีย
นายชัยวัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ไม่กังวลเลย กลัวอย่างเดียวคือ อย่าขายเร็วเกินไป เพราะเงินลงทุนใช้เยอะ วางแผนไว้ว่า 5 ปี ทำพันล้าน แล้วเข้าตลาดหุ้นอินเดีย บริษัทไทยก็เข้าตลาดหลักทรัพย์ไทย บริษัทอินเดียก็เข้าตลาดหลักทรัพย์อินเดีย โรงงานเอกาโกลบอล ไทยและเอกาโกลบอล อินเดีย เมนหลักจะเป็นเกี่ยวกับเรื่องของเทคโนโลยีเครื่องจักร ซึ่งเครื่องจักรมันแพงมาก ไม่ได้ใช้คนมากนัก ขายพันล้านคนงานที่ไทยเรามี 300 คน ใช้คนไม่เยอะแต่เราใช้เงินเยอะในการลงทุน เพราะมันเป็น High Barrier packaging คือมันท้อปสุดของเครื่องเทอร์โมฟอร์มมิ่ง (Thermoforming) ค่อนข้างแพง เป็นเครื่องของเยอรมัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วใช้เป็นออโตเมชัน เพราะว่าลูกค้าปลายทางเขาต้องการคุณภาพสูง สะอาด แม่นยำสูงมากจริงๆ หากสินค้าชำรุดหรือรั่ว อากาศเข้าทำให้ผลิตภัณฑ์เสียไม่คุ้มกับการฟ้องร้อง เราเลยลงทุนกับนวัตกรรมตรงนี้มาก เราให้ความสำคัญตรงนี้ค่อนข้างมาก

ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1149236 

วันที่ 19 ตุลาคม 2567